มาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือประชานิยม ….บรรเทาเงินเฟ้อได้
แต่รัฐต้องหารายได้ชดเชย
แม้ว่าในช่วงที่มีการเตรียมจัดงานมั่นใจไทยแลนด์ดีแน่ ถูกแน่ จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นนโยบายหาเสียง สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ และมีผลเพียงระยะสั้นๆ ไม่ดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมแต่อย่างใด แต่เมื่อถึงวันงานระหว่างวันที่ 17- 20 กรกฎาคม มีประชาชนเข้าชมงานเพื่อจับจ่ายซื้อของเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้มากโดยมียอดผู้เข้าชมงานกว่า 3 แสนคน ยอดการใช้จ่ายทั้งยอดเงินฝากธนาคารกรุงไทยที่ระบุว่าต้องฝากขั้นต่ำ1 แสนบาท ระยะเวลาฝาก 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยร้อยละ6 มีประชาชนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เข้าคิวรอลงชื่อเป็นจำนวนมาก เรียกว่าเป็นบู๊ธยอดนิยม แสดงให้เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำของประเทศในครั้งนี้ คนไทยปรับพฤติกรรมได้เร็วกว่าครั้งวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 โดยนิยมลงทุนในเงินฝาก พันธบัตร ที่มีดอกเบี้ยไว้ให้เก็บเกินและไม่ต้องเสี่ยง มากกว่าการลงทุนประเภทอื่น ที่ต้องมีการเสี่ยง
ขณะที่บู๊ธที่เกี่ยวกับพลังงานเช่นวิธีการติดตั้งอุปกรณ์ก๊าซเอ็นจีวี การร่วมเล่นเกมส์เพื่อชิงรางวัลติดตั้งเอ็นจีวีราคาถูกจำนวน 1 พันคน ก็เป็นที่นิยมเช่นกันแม้ว่าจะต้องผ่านหลายขั้นตอนกว่าจะถึงรอบของการจับชื่อผู้โชคดี ถือว่าเป็นกิจกรรมกระตุ้นการประหยัดพลังงานได้ดี
ส่วนสินค้าราคาเดียว 30 บาทที่นำสินค้าคุณภาพดีจากฝีมือคนไทยมาจำหน่าย เรียกความสนใจจากประชาชนได้มากเป็นการเปิดตัวที่ได้ผล ซึ่งผู้ที่มาจับจ่ายซื้อของบอกว่าไม่คิดว่าราคา 30 บาท จะเป็นของที่มีคุณภาพขนาดนี้ ขณะที่ผู้ขายบอกว่าแม้จะขายในราคาถูกแต่ขายได้มากชิ้นก็สามารถช่วยผู้ประกอบการได้ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ขณะที่ผู้ประกอบการนำสินค้ามาร่วมงานโดยไม่ต้องเสียค่าสถานที่ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งสามารถขายสินค้าได้ในราคาถูก แม้แต่ไข่ไก่ถาดละ 60 บาทก็ยังเป็นที่ต้องการของประชาชนมีผู้มาซื้อมากตลอดทั้ง 4 วัน งานนี้ทำให้วิเคราะห์ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในขณะนี้ได้ว่าไม่ว่าจะรวยหรือจนต่างรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลาที่ต้องประหยัด
การลงทุนของรัฐบาลครั้งนี้จึงไม่สูญเปล่า เพราะนอกจากจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจมีเงินสะพัดกว่า ล้านบาทแล้วเป็นที่ชื่นชอบของประชาชนทั่วไปแล้ว หากสังเกตยอดการฝากเงินแล้วแม้แต่ผู้ที่มีเงินก็ยังชอบที่จะมาร่วมงานนี้จนมีเสียงเรียกร้องว่ารัฐบาลควรจัดงานอย่างนี้ปีละ 2-3 คั้ง ดังนั้น หากจะเรียกว่าเป็นงานมหกรรมมั่นใจไทยแลนด์ดีแน่ถูกแน่แล้ว ยังเป็นมหกรรมที่ถูกใจทุกคนไม่ว่าจะระดับใดก็ตาม
สิ่งที่รัฐบาลจะเร่งทำต่อจากนี้ คือ 6 มาตรการ 6 เดือน ที่นอกจากจะเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่ถูกมองว่าจากนักวิชาการและฝ่ายค้านว่าเป็นนโยบายประชานิยม ที่เตรียมไว้สำหรับคะแนนนิยมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่ก็เป็นที่ยอมรับว่าในหมู่ผู้มีรายได้น้อยว่าเมื่อลดค่าใช้จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ารถโดยสาร ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 2,000 บาท ซึ่งถือว่ามากสำหรับผู้มีรายได้น้อย และที่ทุกคนได้รับประโยชน์ไปด้วยคือราคาน้ำมันที่จะลดลงวันที่ 25 กรกฎาคม ตามที่รัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตรน้ำมันแม้จะเป็นเพียงระยะสั้นก็ตาม แต่ก็ประหยัดเงินในกระเป๋าได้พอสมควร
ที่เป็นผลดีของประชาชนจากการลดภาษีน้ำมันส่งผลให้กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เตรียมปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะปูนซีเมนต์ นมข้นหวาน น้ำดื่ม รองเท้า ชุดนักเรียน สบู่ ยาสีฟัน ด้วยเหตุผลสำคัญคือต้นทุนด้านพลังงานที่ลดลง
ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมปรับอัตราการเจริญเติบโตของประเทศโดยจะนำ6มาตรการ 6 เดือนเข้าไปพิจารณาด้วยเชื่อว่าจะทำให้ตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวตัวเลขเงินเฟ้อที่นักเศรษฐศาสตร์เกรงว่าจะสูงจนส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจก็ได้รับคำยืนยันว่าหากมีการกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชนจะส่งผลให้ตัวเลขจะไม่ถึง 2 หลักอย่างแน่นอน
ขณะที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีแรกขยายตัวร้อยละ 5.9 และมีแนวโน้มว่าครึ่งปีหลังจะขยายตัวได้ร้อยละ5-5.5 ทำให้ปี 2551 เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 5-6 ตามที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังที่จะประกาศใน 2 เดือนข้างหน้าทั้งการปรับโครงสร้างสินค้าเกษตร โครงการลงทุนขนาดใหญ่โดยเฉพาะรถไฟฟ้าที่จะเริ่มก่อสร้างสิ้นปีนี้ การปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบที่มีเสียงเรียกร้องให้มีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ไทยยังสูงกว่าประเทศในแถบเอเชีย และมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยว จะเป็นมาตรการระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ
สำหรับมาตรการดังกล่าวใช้งบประมาณ รวมทั้งสิ้น 49,000 ล้านบาท ช่วยลดค่าใช้จ่ายผู้บริโภคลดลงได้ร้อยละ 1 นี้บรรเทาผลกระทบภาวะเงินเฟ้อได้ระดับหนึ่ง โดยเงินเฟ้อทั้งปีอาจจะอยู่ที่ร้อยละ7.3 จากเดิมประมาณการไว้ร้อยละ7.8 แต่สิ่งที่รัฐบาลต้องแบกรับคือการขาดดุลงบประมาณปี 2551 เพิ่มขึ้นมาอยู่มี่ 222,000ล้านบาท จากเดิม 172,000 ล้านบาทหรือร้อยละ 2.3ของจีดีพี จากเดิมร้อยละ 1.7ของจีดีพี ที่มีผลต่อสถานะการคลังที่ต้องจัดหาวงเงินเพื่อการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ มาตรการนี้จึงควรดำเนินการภายใต้กรอบเวลาที่จำกัด
ทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ยังมีปัจจัยที่นอกเหนือการควบคุมไม่สามารถคาดเดาได้ คือ ปัจจัยทางการเมืองที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัจจุบันนี้ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แล้วเศรษฐกิจของประเทศจะเป็นอย่างไรหากมีเหตุที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น
ขอบคุณ